"ทิ้ง"

ได้ยินครั้งแรกก็คิดว่า คนอะไรหว่าชื่อทิ้ง แถมยังทำหน้าที่เป็นเมสเสนเจอร์ เอาของรับส่ง แล้วของจะถูก "ทิ้ง" ระหว่างทางไหมเนี่ย

พวกเรารู้จักพี่ทิ้งก็ตอนที่ย้ายออฟฟิศมาอยู่ห้วยขวาง แกเป็นเมสเสนเจอร์ฟรีแลนซ์ บ้านแกอยู่ในซอยเดียวกับออฟฟิศ แล้วแกก็มีมอเตอร์ไซค์ นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นให้แกบริการวิ่งรับส่งเอกสารให้ออฟฟิศทั้งหลายในตึกสี่ชั้นนี้

พี่ทิ้งทำให้พวกเราสะดวก บ้านแกอยู่แถวนี้ เวลาฉุกเฉินอะไรแกก็มาออฟฟิศได้รวดเร็ว มีพี่ทิ้งอยู่ พี่ทิ้งก็ช่วยคิดแก้ปัญหาให้ด้วย

ว่าด้วยเรื่องแก้ปัญหา ครั้งนึงเคยต้องซื้อสีทาบ้านมาทำนิทรรศการ แต่เวลาก็ไม่มี ความรู้เรื่องสีก็บ๊อแบ๊ะ สีในท้องตลาดก็ดันมีหลายประเภท ก็ได้พี่ทิ้งไปตระเวนหาของมาให้ตามที่ต้องใช้

อีกครั้ง เคยต้องส่งเอกสารรณรงค์จำนวนมากไปต่างจังหวัด แต่ส่งไม่เป็น ก็ได้พี่ทิ้งนี่ล่ะที่ไปหาช่องทางส่งของผ่านทางรถทัวร์ให้ แถมยังช่วยแพ็ก ช่วยยกของ

มีอีกครั้ง เราจะสมัครเปิดตู้ปณ. แต่กิจการนั้นมันดูจะเสี่ยงๆ วิถีของบ้านเมืองนิดหน่อย เราก็ทำเอกสารมอบอำนาจแล้วขอให้พี่ทิ้งไปเดินเรื่องให้ แต่ปรากฏว่าเอกสารไม่ครบ พี่ทิ้งเลยอาสาว่า โอ๊ย เปิดตู้ปณ.ง่ายนิดเดียว ใช้ชื่อพี่ทิ้งเปิดก็ได้ ทำนองว่าแกจะได้จัดการให้ได้เลย แต่ตอนนั้นเราไม่ได้บ้าจี้เออออตามที่พี่ทิ้งสปอยล์พวกเรา

สำหรับเรา พี่ทิ้งมีบุคลิกแบบเมสเสนเจอร์มืออาชีพ และจริงๆ ก็เป็นมากกว่าเมสเสนเจอร์ เพราะไม่ได้แค่ทำงานตามสั่ง แต่มักต้องทำงานแก้ปัญหา และทำให้พวกเราทำงานได้ง่ายๆ ที่สำคัญ แกก็เป็นที่ไว้วางใจ พวกเรากล้าให้พี่ทิ้งถือของมีค่าไปถึงที่ปลายทาง ใช้บริการพี่ทิ้งแล้วก็จะวางใจได้ว่าของไม่หาย และวางใจได้ว่างานสำเร็จ

ที่ว่าวางใจได้ เพราะเวลาคุยกะพี่ทิ้งเพื่อขอให้พี่ทิ้งทำงานให้ แกไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเราแบบแค่ทำงานให้มันเสร็จๆ ไป แต่แกก้าวเข้ามามากกว่านั้น เหมือนแกจะแบกเอาโจทย์ของงานไปด้วยส่วนหนึ่ง เมื่อทำงานแล้วเจออุปสรรค แกก็ใช้ไหวพริบแก้ปัญหา แล้วก็ทำให้ทุกคนประสานงานกันได้ราบรื่น

ใครก็ตามที่เคยทำงานร่วมกับเรา ร้อยทั้งร้อยต้องเคยอยู่ในห่วงโซ่การใช้บริการของพี่ทิ้งทั้งนั้น

เอ้อ พี่ทิ้งไม่ได้แค่ส่งของ แต่พี่ทิ้งเคยพานุ้นซ้อนท้ายเพื่อไปถึงจุดที่ขึ้นรถกลับบ้านสะดวกๆ ด้วย ฮ่าฮ่า ของชิ้นนี้ท่าทางจะใหญ่กว่าชิ้นอื่นๆ ที่กล่าวมา

แม้พี่ทิ้งจะทำงานแก้ปัญหาให้เราบ่อยๆ แต่เมื่อถึงคราวพี่ทิ้งเจอปัญหา เรามักจะช่วยไม่ได้

มีครั้งนึง พี่ทิ้งไปส่งของที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพ จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ที่จอดรถแล้วก็เดินเอาของไปให้คนในตึก ปรากฏว่าพอลงมา มอเตอร์ไซค์แกหายไปเสียแล้ว

ตอนเราได้ยินเรื่องนี้ ก็รู้สึกว่า แกแทบจะทำงานให้พวกเราเหมือนเป็นพนักงานประจำ แล้วมอเตอร์ไซค์ก็เป็นอุปกรณ์การทำงานหลัก งั้นองค์กรก็ควรจะช่วยสนับสนุนหรือชดเชยความเสียหายครั้งนี้ด้วยไหม แต่ครั้งนั้น เราก็แทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะไม่มีงบก้อนไหนที่เราจะควักมาใช้อุดความเสียหายแบบนี้ได้ และตามระบบแล้วก็ต้องถือว่าแกเป็นผู้ให้บริการแบบฟรีแลนซ์ ความเสียหายต่างๆ มีแต่แกที่ต้องแบกรับเอาไว้คนเดียว สิ่งที่เราทำได้คือให้แกยืมเงินเพื่อไปซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่ (เพื่อที่เราก็จะได้ใช้งานแกตามสะดวกของเราต่อไป)

มีอีกครั้ง แกเกิดปัญหาอะไรไม่รู้ เดาว่าคงเมาแล้วถูกซ้อมน่วมจนต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นอีกครั้งที่เรารับรู้ข่าวความเป็นไปของพี่ทิ้งแบบใจสั่นๆ คำถามในใจหลายอย่างผุดขึ้นมาซ้ำๆ ว่า แล้วแกจะมีตังค์จ่ายไหม แกจะรับไหวหรือเปล่า สุดท้ายเราก็ไม่ได้ทำอะไรและได้แต่นิ่งดูดายพร้อมกับท่องอาขยานไปว่า แกใช้สามสิบบาทรักษาทุกโรคได้ หมอรักษาได้

พี่ซังกับคิมบอกว่า พี่ทิ้งวูบล้มในห้องน้ำเมื่อวานนี้ แกวูบเพราะอะไรก็ไม่รู้ แกอาจจะมีปัญหาเรื่องความดันมาแล้วไม่บอกใคร หรือจะอะไรก็ได้ แต่พอแกล้มแล้วเลือดไปคั่งในก้านสมอง หมอบอกว่าแม้เจาะเอาเลือดออกแล้วก็มีแนวโน้มว่าร่างกายจะไม่กลับมาเหมือนเดิม

ปลาเล่าว่า ครอบครัวพี่ทิ้งตัดสินใจไม่ผ่าตัด ประมาณ 12 ชั่วโมงต่อมา แกก็จากพวกเราไป

มีคนบอกว่า ชื่อ "ทิ้ง" มาจากชื่อจริงชื่อเก่าของแกที่ชื่อ "บุญทิ้ง"
มันคงถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจะแก้เคล็ดอะไรสักอย่าง



Comments

Anonymous said…
R.I.P.
symposium said…
thank you for this wonderful piece. He will be remembered...