ชีวิตกลับตาลปัตร

เพื่อไม่ให้แม่ยุ่งเกินไปและเพื่อประหยัด ตอนเด็กเราจึงถูกส่งเข้าเรียนป.หนึ่งเล็กตั้งแต่สี่ขวบครึ่ง เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เรามักอายุน้อยที่สุดในห้อง เรียนเร็วกว่าคนอื่น 1-2 ปี

ตอนเข้ามหาลัย ช่องว่างของอายุยิ่งถ่างออก เพราะดันสอบเทียบ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตวัยรุ่นแบบอายุน้อยกว่าเพื่ิิอน 2-3 ปีเชียว

สำหรับวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อ การที่อ่อนวัยกว่าใครเขา มีผลต่อการเรียนรู้ในชีวิตมากทีเดียว เช่น คนอื่นเขาร่างกายเปลี่ยนแปลง ตัวสูงปรู๊ดปร๊าด มีประจำเดือนกันหมดแล้ว เรายังนมแบนๆ งงๆ กับโลกอยู่

การอ่อนต่อโลก ทำให้เรามองโลกในฐานะผู้สังเกตการณ์มาตั้งแต่เด็ก โตก็ไม่ทันเขา คิดก็ไม่ทันเขา

ได้เป็นฝ่ายเฝ้ามองโลกก็สนุกดี พอทำงานปีแรกๆ ยิ่งหนักหนาใหญ่ เพราะงานแรกที่ทำมีแต่เพื่อนร่วมงานที่อายุมากกว่ามากๆ เต็มไปด้วยช่องว่างระหว่างวัยให้ถม แต่ในมุมส่วนตัวก็รู้สึกชีวิตสบายดี เพราะทำตัวเป็นฟองน้ำ คอยดูดซับประสบการณ์ของผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ในฐานะผู้น้อยที่คอยวิ่งตามผู้ใหญ่กว่ามาตลอด อีกมุมก็รู้สึกว่า โลกต้องวิ่งตามเราที่เข้าคอร์สเร่งรัดมาตลอดชีวิตเช่นกัน

แต่ไม่ทันไร มาวันนี้ เราก็ทำงานต่อเนื่องนับจากเรียนจบ รวมเวลาตอนนี้ก็เข้าปีที่สิบแล้ว

และเมื่อไรก็ไม่รู้ ที่โลกมันกลับตาลปัตร จู่ๆ เราก็ผันชีวิตมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อายุมากกว่าใครๆ รอบๆ ตัว ต้องรับผิดชอบกับคนอื่นอย่างจริงจัง ทำตัวดีดี และคอยคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น

จะวางบทเป็นนักสังเกตการณ์เหมือนเดิมไม่ได้แล้ว

มันไม่ง่ายเลยอะ ไม่พร้อมได้มั้ย

Comments