Give me 5! < BLOG TAG >


อันเนื่องมาจากบลอกแทกที่เล่นกันเมื่อต้นปี

เราได้รับแท็กออนไลน์จาก bact' , thanska , เจ้าหญิงเพี้ยน
และได้รับแท็กออฟไลน์จาก นักข่าวในฐานะชนเผ่าหนึ่ง , กานต์ ยืนยง , วิลาศ เตชะไพบูลย์ , เริงฤทธิ์ 'dog , Pawoot , คุณกั้ง , Jakrapong และคุณสาธิต

หลังจากเสียมารยาท ต๊ะแท็กมานาน และโดนกดดันด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะผ่านการไถ่ถามอย่างสุภาพ ข่มขู่ ส่งข้อความทางมือถือ และออนไลน์ทวง ว่าเมื่อไรจะตอบแท็กเสียทีนั้น

บัดนี้ถึงเวลาอันควรแล้วจ้า

ห้าประการเกี่ยวกับตัวฉัน ที่คุณอาจจะยังไม่รู้


1

เราเป็นลูกจีนรุ่นแรก เกิดที่ตรอกเจ้าสัวติกล้ง ถนนทรงวาด
ที่ว่าเป็นลูกจีน 'รุ่นแรก' คือเป็นรุ่นแรกของครอบครัวที่มาเกิดเมืองไทย ส่วนรุ่นพ่อรุ่นแม่นั้น เกิดและโตที่เมืองจีนโดยเพิ่งเข้ามาเมืองไทยตอนที่พวกเขาอายุ 24 ปี

พ่อกับแม่ไม่ได้มีการศึกษาสูง ถ้าเข้าใจไม่ผิด พ่อน่าจะจบสักม.ต้น ส่วนแม่คงจบประถม และก็เข้าใจว่า พวกเขาผ่านระบบการศึกษามาในช่วงปลายๆ ของการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน

เมื่อมาเมืองไทย ก็มาค้าขาย แปลก... พ่อกับแม่กลายเป็นคนชนชั้นกลางที่สนใจการเมืองมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

ทั้งคู่ต้านทักษิณอย่างมาก แต่การไม่มีช่องทางรับข่าวสาร ก็ทำให้พ่อกับแม่จำต้องติดตามสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา และสนธิ ลิ้มทองกุล ผ่านทางทีวี เพราะจะให้อ่านหนังสือพิมพ์ ก็อ่านภาษาไทยไม่ออก อ่านได้เฉพาะหนังสือพิมพ์จีนที่ไม่มีข่าวอะไรเท่าไร

เมื่อมีการรัฐประหาร พ่อกับแม่จึงโล่งใจมาก ที่ทักษิณออกไปได้

แม้ที่บ้านจะสนใจการเมืองก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยากให้เรายุ่งคลุกคลีกับการเมือง เพราะเขารู้ว่า เรื่องการเมือง ยิ่งข้องเกี่ยว ยิ่งสกปรกและไม่มีความสุข แต่เขาก็รู้ว่าเราเป็นเด็กดื้อ แต่ก่อนเขามักพูดว่า "ถ้าที่ไหนมีม็อบ เราอย่าไปนะ" แต่หลังๆ เขาเปลี่ยนประโยคใหม่เป็น "ถ้าที่ไหนมีม็อบแล้วเราไปร่วมด้วย อย่ายืนข้างหน้านะ"

ประนีประนอมแฮะ

มีครั้งหนึ่ง ภาคประชาชนจัดงานสมัชชาสังคมไทย และในวันสุดท้ายมีเดินขบวน เราจะออกจากบ้านไปร่วม พ่อกับแม่ก็ถามว่าจะไปไหน เราบอกว่า เราจะไปเดินขบวน เขาถามว่าเดินขบวนไปเพื่ออะไร เราตอบว่า เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย (ตอนตอบ ก็แอบอ้วกในใจ)

ปรากฏว่าพ่อโกรธมากบอกว่าให้รอดูคณะรัฐประหารทำงานก่อน และบอกว่า 'ประชาธิปไตยที่แท้จริง มันไม่มีหรอก' นักศึกษามากมายที่เรียกร้องประชาธิปไตยที่เทียนอันเหมินชะตากรรมเป็นยังไงรู้ไหม เรื่องนี้เรียกร้องยังไงก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา




2

เนื่องจากพ่อแม่เรียนมาน้อย และเห็นว่าประตูบานเดียวที่จะเปิดโอกาสให้คนได้ก็คือการศึกษา เขาเลยปลูกฝังให้ตั้งใจเรียนหนังสือ พี่น้องทั้ง 6 คนยกเว้นเราแล้ว มีดีกรีที่ก้าวหน้าอวดคนในตลาดแถวบ้านได้กันทุกคน

แต่ก่อน เรามักจะบ่นให้คนนอกบ้านฟังเสมอๆ เรื่องความคาดหวังของครอบครัว ความแตกต่างทางความคิด ช่องว่างระหว่างวัย แต่ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจและมองได้ด้วยยิ้มๆ เอาเข้าจริง เราได้แต่บ่นแต่แทบจะไม่ปรับตัวอะไร เขาเสียอีกที่ต้องใช้ความพยายามฝ่าความแตกต่าง (วัฒนธรรม ชนชาติ ภาษา การศึกษา) ระหว่างเด็กดื้ออย่างเรากับเขา อดทนกับเด็กดื้ออย่างเรา และยอมเด็กดื้ออย่างเราไปมากมายนับไม่ถ้วน

สมัยม.ต้น แม่ขอว่าให้ตั้งใจเพื่อเป้าหมายที่เตรียมอุดมศึกษา พอม.ปลาย แม่บอกว่า ชีวิตนี้จะไม่ขอไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว ถ้าเราเอ็นท์ติด (ตอนนั้นโคตรดีใจเลย ที่แม่บอกว่าจะไม่ขออะไรอีก ฮ่าฮ่า) พอเรียนจบปริญญาตรี แม่ลืมคำสัญญาเดิม แล้วบอกว่า มีสองเรื่องที่ยังห่วง คือ ให้เรียนจบปริญญาโท และให้มีแฟนสักที

คำขอของแม่ช่างยากขึ้นไปทุกทีๆ กลัวว่ามันจะสะดุดเหมือนประชาธิปไตยไทยน่ะซี



3


ตอนเข้าม. 1 ครูวิชาสังคม ให้ลองทำแบบสอบถามเกี่ยวกับตัวฉัน ตอนแจกแบบสอบถาม ครูบอกว่า ให้ตอบตามที่เป็นเรา และให้ตอบตามสบาย เพราะไม่มีผิด ไม่มีถูก และไม่มีคะแนน

คำถามข้อหนึ่งถามว่า เหงาบ่อยแค่ไหน? มีตัวเลือกคือ ไม่เคยเลย บางครั้งบางคราว สม่ำเสมอ บ่อยมาก เราเลือกช่อง 'ไม่เคยเหงาเลย' ปรากฏว่าคุณครูแจกแบบสอบถามนั้นกลับมาที่เรา วงตัวแดงตัวโตๆ แล้วบอกว่า ไม่มีทาง ที่คนเราจะไม่เคยเหงา และคำตอบข้อนั้นของเรา ตอบผิด

เราโคตรจะไม่เข้าใจ แต่หลังจากนั้นก็เริ่มค้นความรู้สึกตัวเอง หลังจากนั้นมา เราก็เหงา เหงาบ่อยๆ บ่อยมาก และบ่อยถึงที่สุด จนถึงขั้นโอเวอร์ มักจะขนานนามตัวเองเสมอ ว่าเป็นผู้ที่รู้จริงเรื่องความเหงาที่สุดในโลก ขณะเดียวกัน ก็เสพติดความเหงาด้วย

แม้จะสนิทกับความเหงา แต่ก็มีคติประจำใจว่า จะไม่ใช้ความเหงาทำร้ายผู้อื่น แต่เท่านั้นคงไม่พอ เพราะคงต้องเพิ่มอีกข้อว่า แม้จะหลีกหนีผู้อื่นที่เอาความเหงามาทำร้ายไม่ได้ แต่ก็จะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเท่าทัน



4

เขาว่ากันว่าเราเป็นคนปากจัด แม้เราจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็คงต้องรับฟังไว้บ้าง (แฮ่ม)

ตอนสมัยมัธยมต้น เพื่อนสนิทที่สุด ที่ปัจจุบันก็ยังยอมคบเราอยู่ (ชื่อจิ๋ว ตอนนี้เป็น geek เรื่องต้นไม้) ถึงกับเคยพูดว่า เราจะพูดยังไงก็ได้ แต่ขออย่าประชดได้ไหม เพราะมันไม่ดี

เนื่องจากเราแคร์เพื่อน เราจึงปรับตัว ดังนั้น ทุกวันนี้ เราจึงเติบโตขึ้นมา เป็นคนที่ปากจัดอย่างตรงไปตรงมา ไม่นิยมประชดใคร และก็ไม่ชอบคนที่พูดจากประชดด้วย ... เพราะมันไม่มีประโยชน์



5

เรามีความเชื่อแปลกๆ คือ เชื่อและศรัทธาในการพัฒนา การเติบโต

ก่อนที่จะมาเชื่อแบบนี้ มันอาจมาจากมุมมองที่เรามองว่า เราเป็นคนที่โชคดีเสมอ คือ ตั้งแต่เด็กจนโต นอกจากมีครอบครัวที่อบอุ่นและรักกันแล้ว เรายังมีเพื่อนสนิทคู่ใจในทุกๆ ที่ เมื่อมาเรียนหนังสือในสถาบันที่ห่วยเป็นอันดับสองของประเทศ แม้จะพบความย่ำแย่ความจอมปลอมของโลกใบใหญ่ แต่ในนั้นก็ยังมีอาจารย์ที่ดี ที่เปลี่ยนความหมายของคำว่ามหาวิทยาลัยจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อมาทำงานในองค์กรที่มีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดและพวกเขี้ยวลากดิน แต่กลับได้พบเจอผู้คนแปลกประหลาด ซึ่งกลายเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไปแล้ว แล้วเมื่อทำงานต่อๆๆ ไป ชีวิตก็มีแต่พบเจอผู้คนที่น่ารักมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ การที่มีผู้ที่เชื่อเรา ให้โอกาสเราเสมอๆ

เราจึงคิดเหมาๆ เอาว่า นี่เป็นสิ่งที่สังคมให้เรา และทำให้เราอยากตอบแทนสิ่งรอบข้าง (อย่าอ้วก)

สิ่งที่ทำให้เชื่อมั่นในพัฒนาการ ก็มาจากความโชคดีที่มีโอกาสรู้จักและเห็นการทำงานของเพื่อนๆ ที่เคลื่อนไหวเพื่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งน่าจะเป็นตัวแบบที่ดีในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการการเติบโต ทัศนะต่อการจัดการกับปัญหา ทัศนะของชีวิตและมนุษย์ พี่คนหนึ่งเคยบอกเราว่า เข้าใจเอดส์ คือเข้าใจชีวิต เราเห็นด้วยตามนั้น

ดังนั้น บ่อยๆ ที่เราท้อแท้ เจออุปสรรค เรามักแอบไปพูดไปคุยไปคลุกคลีกับคนทำงานกลุ่มนี้ เขาไม่รู้หรอก ว่าเราแอบไปดูดอะไรจากเขามา ฮ่า

เมื่อเชื่อมั่นในพัฒนาการและการเติบโต แม้สถานการณ์การเมืองจะทำให้รู้สึกท้อได้บ่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เรายืนยันเสมอ คือ สักวันคนตัวเล็กๆ จะครองเมือง

แม้หลายคนจะพูดว่า ภาคประชาชนหน่อมแน๊ม (ซึ่งไม่เถียง แต่ไม่ลืมด้วยว่า มีคนไม่มากที่จะมีโอกาสได้เป็นชนชั้นนำ ผู้มีอำนาจ และนักวิชาการ) แต่มันเป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่มีทางไหน นอกจากเชื่อมั่น ร่วมก้าวไปด้วยกัน ยินดีที่จะอดทน และไม่เร่งรัดให้ภาคประชาชนต้องโตเร็วๆ หรอก

เพราะตอนนี้ โตไป ก็ไม่มีที่ยืน

.......

จบแล้ว แนะนำตัวเองห้าข้อ

จากนี้ไป ถึงคิวเราได้แท็กต่อคนอื่นบ้าง เนื่องจากคนที่อยากแท็กก็ล้วนถูกแท็กไปหมดแล้ว ดังนั้น เราจะขอแท็กบลอกเกอร์มือใหม่ ดังต่อไปนี้

หนึ่ง ขุนพลน้อย นักข่าวสายความมั่นคง ประชาไท
สอง
:::third eye NOT blind::: นักข่าวสายต่างประเทศ ประชาไท และบรรณาธิการ prachatai weekend
สาม pig the day นักข่าวสายคุณภาพชีวิต ประชาไท
สี่ chuwat เอดิเตอร์ อิน 'ชิท' ประชาไท
ห้า gg's world ผู้จัดการ ประชาไท
หก ปกป้องดอทคอม เวบมาสเตอร์หัวขนม ประชาไท
เจ็ด I am just fine ^^ นักอ่านวรรณกรรมผู้อบอุ่นโรแมนติก
แปด ซังกุงสูงสุดแห่งประชาไท ผู้ดูแลชุมชนและคอลัมน์
เก้า นอนุ้นแสนดผู้สร้างความอบอุ่นให้ประชาไท

เอ เขายอมให้แท็กบลอกเกอร์ในอนาคตไหมนะ จะได้แท็กรอไว้ อุอุ

Comments

Anonymous said…
"ถ้าที่ไหนมีม็อบแล้วเราไปร่วมด้วย อย่ายืนข้างหน้านะ"

ขำวะ :) ฮาดี
Anonymous said…
มารอดูบล็อคแท็กที่แปะต่อไว้ ว่าจะมีคนเล่นกี่คน ^o^
Rerng®IT said…
ดีใจที่มีส่วนร่วมด้วยช่วยทวงจนสำเร็จมาให้ได้อ่านกัน ^_^
Rerng®IT said…
มาละเลียดอ่านอีกที อยากบอกว่า
เขียนเก่งเนอะ ชอบการใช้คำ ฝากชมผ่านพี่สาวไปบ่อยๆ คราวนี้ขอชมต่อหน้าเลยก็แล้วกัน

แล้วก็...ครอบครัวอบอุ่นดีจัง
Anonymous said…
อ่านข้อสองแล้ว โดนมากๆ
Anonymous said…
น้องนิ้วจ๊ะ พี่โดนชาวบล็อกแกงค์แท็กไปสองรอบแล้ว
รอบสามจากน้องนิ้วนี่พี่ให้ไปอ่านบล็อกเก่าที่เล่าไปแล้วได้ไหมจ๊ะ
หรือว่าพี่ต้องเขียนอีกครั้ง
ไม่ต้องห่วงนะ
พี่น่ะเรื่องเล่าเยอะ แต่กลัวคนอ่านเบื่อ
อิอิ
^^
Anonymous said…
พี่ลืมบอกว่าพี่เหมือนน้องนิ้วนิดหน่อยคือ
คิดว่าตัวเองโชคดีในการเกิดมาและมีชีวิตแบบนี้
อีกอย่างพี่ไม่เคยเหงา และโชคดีที่พี่ไม่เคยทำข้อสอบนั้นทำให้พี่ไม่พยายามทำความรู้จักความเหงาจนถึงขั้นเสพติด
^^
Niw Wong said…
พี่แอม เมื่อเสนอตัวแล้ว นิ้วก็สนอง ตอบอีกๆๆ
แหะแหะ จริงๆ ก็คือตามสะดวกดีก่า

จริงเหรอ ที่พี่แอมไม่เหงา จะให้นิ้วเชื่อได้อย่างไร
Anonymous said…
โอเค เอาเป็นว่า พี่ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน ระหว่างวันพี่ก็ทำงาน นั่งคิดงาน กินข้าว ทำงาน คุยกับเพื่อน ตกเย็นเลิกงานกลับบ้านนั่งคุยกับน้อง ทะเลาะกันบ้าง แล้วก็ทำการบ้าน หรือไม่ก็นอน พอหัวถึงหมอนก็หลับ ตารางชีวิตพี่เป็นแบบนี้ เหงาตอนไหนดี อาจจะเคยเหงาก็ได้ แต่ว่า นานๆๆๆๆๆ จะเหงาสักที
ไม่เชื่อจริงๆ เหรอ น้องนิ้วคงต้องลองระลึกถึงความรู้สึกก่อนหน้าที่จะทำข้อสอบแผ่นนั้นแล้วละ
^^
bact' said…
ฮิ้ว สนุกดี :)

เอ่อ ยังไม่ได้ตอบออฟไลน์บล็อกแท็กเลยล่ะ

เดือนนึงแล้ว - -"
Niw Wong said…
anpanpon :p : ถ้าที่ไหนมีคอนเสิร์ต ลุยไปหน้าเวทีเลยนะ

poakpong : แล้วคุณล่ะ ตอบหรือยัง ^^

rerng-rit : พี่สาวไม่เห็นเคยมาบอกอะไรเลยนี่

pigtheday : เคยคุยกับผู้ใหญ่คนนึง อายุประมาณ 80 ปี เป็นคนที่คนรุ่นเราๆ คุ้นเคย และเข้าใจเด็กๆ ดี แต่เจ้าตัวตัดพ้อว่า ทำไมเด็กไม่ค่อยยอมปรับตัวให้เข้าใจผู้ใหญ่บ้าง

I am just fine^^ : ระลึกไมไหว มันนานเกินไปแว้ว

bact' : ตอบเลย ตอบเลย อย่าทิ้งนานข้ามปีนะ เอาก่อนตรุษจีนเลย อยากอ่าน แฮ่
Anonymous said…
เป็นลูกจีนรุ่นแรกที่พูดไทยเสียงหวาน ชัดถ้อยชัดคำ จับอกจับใจเชียวแหล่ะ ไม่เห็นมีสำเนียงซิ่มติดมา พูกม่ายชักเหมือน บ.ก.เลยแฮะอิอิ

อยู่บ้านพูดภาษาอาไรกันหว่า

จะค่อยๆคอมเมนท์ไปที่ละประการนะจ๊ะ
Niw Wong said…
ขุนพลน้อย : สมัยก่อนถูกติอยู่บ่อยๆ เรื่องพูดไม่ชัด แต่สมัยเด็กๆ เป็นนักเรียนอเนกประสงค์น่ะ เวลาครูลืมเตรียมเด็กไปทำกิจกรรม ก็หยิบเราไปใช้สอยอยู่บ่อยๆ (แบบฉบับ girl friday น่ะ เฮ้อ :( )เลยมีพักนึงที่ต้องตื่นเช้าตรู่ เพื่อไปหัดอ่านออกเสียงเตรียมประกวดสร้างชื่อให้โรงเรียน หึหึหึหึ

ส่วนที่บ้านก็พูดกันมั่วๆ น่ะ
ภาษาผสม ปนๆ พ่อได้เรียนภาษาไทยนิดหน่อย ส่วนแม่ ก็เรียนตำรามานีมานะที่ลูกๆ ช่วยกันสอนนิดๆ โหน่ยๆ

มีครั้งหนึ่งเพื่อนโทรมาที่บ้าน แล้วเจออาม่ารับ แย่เลย อาม่าพูดภาษาไทยไม่ได้ เพื่อนก็ไม่กล้าวางหูก่อน เพราะกลัวเสียมารยาท ด้านอาม่าก็รู้สึกว่ายังสื่อสารไม่จบ เลยไม่ยอมวางหูสักที

ทุลักทุเลไปหมด :)
Anonymous said…
ถึงเวลาคอมเมนท์ข้อสองแล้ว คำขอของแม่เราพอช่วยได้ข้อนึงแหล่ะ อิอิ
Anonymous said…
ส่วนข้อสามเราพอจะรู้วิธีไม่ให้เสพติดความเหงา แม้ว่าความเหงามันอาจจะเป็นความสุขแบบหนึ่งก็ตาม

วิธีก็คือมาหาความทุกข์สิก็ด้วยวิธีที่เราเสนอช่วยแม่ไปในข้อ 2 ไง ความเหงาจะหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ

5555
Niw Wong said…
ขุนพลน้อย ท่านไม่ได้แค่น่ากลัวเท่านั้น แต่ยังซับซ้อนด้วย

ท่านเสนอให้ข้า ใช้ความทุกข์ ทดแทนความเหงา เท่านั้นไม่พอ ความทุกข์ที่ท่านหมายถึง ดูเหมือนจะเป็น...

ท่านช่างซับซ้อนเหลือ
Anonymous said…
ฝนตกท่องเนตเรื่อยเปื่อยและไม่รู้ทำไมเข้ามาหน้านี้
เพราะเหงาหรือเปล่านะ
อิอิ
พรุ่งนี้พี่จะไปทะเล ฝั่งอันดามัน
ฝั่งที่เขาเตือนให้ระวังภัยนั่นแหละ
คิดว่าจะส่งโปสการ์ดมาให้นะน้องนิ้ว
จะได้ไม่เหงาไง
ไว้คุยกัน
^^