•_• รักนะ แต่ไม่แสดงออก !?!


มีบทความใหม่ที่เขียนลงในสื่อสังวาส ซึ่งเป็นคล้ายๆ จดหมายข่าวเรื่องเพศ ที่ส่งให้สื่อมวลชนทุกแขนงทุกๆ วันหวยออก (ทุกๆ วันที่ 1 และ 16 ของเดือน) เป็นงานที่กลุ่มคนหลากหลายมารวมตัวผลัดกันเขียน มีเป้าหมายเพื่อช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดีในการสื่อสารเรื่องเพศ

หลังจากส่งไป ก็คิดขึ้นมาใหม่ว่า น่าจะเปลี่ยนชื่อบทความใหม่ เป็น "รักนะ แต่ไม่แสดงออก!?!" ... แต่ก็ไม่ทันแล้ววววน่ะซี
000

สื่อสังวาส
ธันวาคม ๒๕๔๙

รักนี้ ไม่มีถุงยาง!

เพื่อนของฉัน ชายหนุ่มวัยทำงาน หน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ นิสัยใจคออัธยาศัยดี การงานมั่นคง เป็นที่เคารพนับถือ และเป็นคนมีเสน่ห์

เขาเป็นคน “เจ้าชู้” นิดหน่อย

เวลามีเซ็กส์กับแฟน ก็ไม่ใช้ถุงยาง และเวลามีเซ็กส์กับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟน ก็ไม่ใช้ถุงยางเหมือนกัน

"ถ้าพกถุงยาง แฟนก็สงสัยสิ" เป็นคำตอบแรกๆ ที่เขาพูดออกมาโดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม เรื่องแฟนสงสัยว่าจะไปมีอะไรกับใครอื่น เพราะเห็นพกถุงยางนั้น เป็นเหตุผลของเรื่องว่าจะ 'พก' หรือ 'ไม่พก' เท่านั้น แต่เรื่องจะ 'ใช้' หรือ 'ไม่ใช้' ถุงยาง มีเหตุที่ต่างออกไป

เวลามีอะไรกับแฟน ไม่ใส่ถุงยาง ก็รับมือกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยคติเรื่อง 'เราเชื่อใจกัน' และรับมือกับการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ด้วย ‘เชื่อ’ ว่าการหลั่งข้างนอกจะช่วยลดความเป็นไปได้ที่จะตั้งครรภ์

เวลามีอะไรกับคนที่ไม่ใช่แฟน ไม่ใส่ถุงยาง ก็รับมือกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ด้วยการประเมินเอาว่า อีกฝ่ายคงไม่น่าจะนำโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาให้ และอาจรับมือกับการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ด้วยเชื่อเรื่องการหลั่งข้างนอก หรือใช้ยาคุมกำเนิด

คนส่วนใหญ่มีข้อมูลทุกอย่าง “รู้” ว่าอะไรคือความเสี่ยง และก็ “คงรู้” ด้วยว่า ในทางปฏิบัติแล้ว การป้องกันความเสี่ยง ไม่ง่ายกับทุกคู่

งานเชิงป้องกัน ให้ทางเลือกที่หลากหลายในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย อาทิ การใช้ถุงยางอนามัย มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สอดใส่ เช่นใช้มือ ใช้ปาก หรืออุปกรณ์เสริมความสุข

และที่ขาดไม่ได้เพราะมีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ สัมพันธภาพนั้น ควรจะสื่อสารกันได้ ต่างฝ่ายบอกความต้องการตนเองได้ ...อย่าเพิ่งตอนนี้, ฉันอยากมี, แบบนี้ไม่ชอบ ฯลฯ

แต่นี่ก็เป็นทฤษฎีที่ปฏิบัติยากในวัฒนธรรมไทยเหลือเกิน

ทางเลือกอื่น ก็เหลือแต่การมีเพศสัมพันธ์กับคนคนเดียว คุยกับคู่เรื่องการป้องกัน ให้คู่ตรวจเลือด หรือใช้วิธีหลั่งข้างนอก ซึ่งเป็นทางเลือกที่เพียงแค่ 'ลด' ความเสี่ยง

ชายหนุ่มคนนี้บอกว่า ไม่เกี่ยงเลยที่จะใช้ถุงยางอนามัย หากแฟนยินยอมให้ใช้และให้พก โดยไม่เอามาเป็นประเด็นว่า นั่นเป็นสัญลักษณ์ของการนอกใจ

นอกจากนี้ อุปสรรคสำคัญ คือ วัฒนธรรมที่ทำให้ผู้คนต้องมีท่าที อิดเอื้อน เขินอาย เวลากำลังจะมีเพศสัมพันธ์ เพราะมันทำให้การพูดกันแบบตรงไปตรงมาเกิดขึ้นได้ยาก และท่าทีที่ อิดเอื้อน เขินอาย (ซึ่งอาจเป็นละครฉากหนึ่ง) นั้น บังคับให้เขาต้องรีบแสดงบทรักที่ต่อจากฉากเล้าโลมโดยข้ามฉากเก้ๆ กังๆ แบบการสวมถุงยางอนามัยไป

จึงไม่มีบทของ 'ถุงยางอนามัย' ในเลิฟซีนที่อารมณ์กำลังพริ้วไหว

เรายังมีวัฒนธรรมที่ให้ค่าว่า เซ็กส์ต้องสวยงาม (จึงต้องทำให้เนียนและงดงาม) ให้ค่าว่าเซ็กส์เป็นเรื่องได้เสีย (จึงมีคนอยากฉกฉวย) ให้ค่าว่าความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องคนสองคน (ซึ่งจริงบ้างไม่จริงบ้าง) ให้ค่าว่าต้องรักนวลสงวนตัว (จึงต้องอิดเอื้อนและเขินอาย)

แต่คำพูดที่ตรงๆ แบบ “เรามามีเซ็กส์กันดีไม๊” หรือ “เอาไว้เรามีเซ็กส์กันนะ” กลับเป็นประโยคที่ดูไม่ค่อยดี ทั้งที่ประโยคแบบนี้ก็อยู่ในใจคนทุกคน แล้วมันก็...น่ารักดีออก



Comments

Anonymous said…
การหลั่งข้างนอกลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ ถุงยางก็แค่ลดความเสี่ยงเหมือนกัน แต่ว่าน่าจะลดได้เยอะกว่า ใช้ปากก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ HIV แต่ว่าอาจจะเกี่ยวกับมะเร็งด้วย :-P แต่เท่าที่อ่่านมาเขาก็บอกว่าน้อยกว่าวิธีปกติอะนะ [1]

ถ้าพกถุงยางแล้วกลัวว่าแฟนจะคิดว่าจะเอาไว้ใช้กับคนอื่น ก็ให้แฟนจน serial number ของถุงยางไว้ก็ได้ ถ้าเกิดว่าหายไปโดยไม่ได้นำมาใช้กับแฟนก็สงสัยได้ว่านอกใจ แต่ปัญหามันน่าจะเกิดจากไม่ใช้ถุงยางกับแฟนอยู่แล้ว หรือเปล่า? เรื่องนี้ก็เป็นข้ออ้างที่เกิดขึ้นทีหลัง

ความหนาบางของถุงยางก็อาจจะเป็นประเด็นเหมือนกัน หนามากก็อาจจะเสี่ยงน้อย แต่ถ้าหนามากไปไม่ทำเลยก็อาจจะดีกว่า

ฉากเก้ๆกังๆมันอาจจะไม่ได้แค่เกิดจากความเขินอายอย่างเดียว คือต่อให้ไม่อายมันก็อาจจะมีปัญหาอยู่ดี เพราะว่าต้องบรรจงฉีกไม่ให้เล็บโดน พลิกหน้าพลิกหลัง ไม่รู้จะใส่ทางไหนดี จนอาจจะทำให้ขาดความต่อเนื่อง หรือว่าหมดอารมณ์ไปเลยเพราะสมาธิจดจ่อกับการฉีกซองสวมถุงมากเกินไป ถ้ามีสีหรือสัญลักษณ์อะไรช่วยก็อาจจะแก้ปัญหานี้ได้? จำไม่ได้แล้วว่าอ่าน blog ใครมา (ใช่ blog นี้หรือเปล่า) บอกว่ามีแบบพ่นด้วย

“เรามามีเซ็กส์กันดีไม๊” อาจจะไม่ได้มีปัญหาถ้าพูดกันในกลุ่มที่จะมีกิจกรรมกัน แต่พูดนอกกลุ่มไม่ได้ คงจะเป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่จะรักษาข้อมูลว่าเคยทำกิจกรรมกับใครมาบ้างเป็นความลับ อีกอย่างที่น่าจะมีปัญหาคือคำว่า ``เซ็กส์'' ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ใช้แล้วอาจจะรู้สึกไม่ค่อยแนบเนียนเท่าไหร่ จะใช้คำว่า ``เอา'' ก็ดูจะเป็นเรื่องการได้/เสียอย่างที่ว่าเกิดไปจริงๆ อย่างไรก็ตามถ้าไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยเกินไป ก็คิดคำเอาใหม่กันเองแล้วแต่จะเห็นควรก็ได้

[1] http://en.wikipedia.org/wiki/Oral_sex
Anonymous said…
แวะมาสวัสดีปีใหม่ถึงบล็อกจ้า :-)
Anonymous said…
Just first time krub.... (first time to visit this blog)

A communication is always good and reduce any STD.
Anonymous said…
โดน blog tag แล้วล่ะ อยากรู้ว่าอะไร แวะมาที่บลอกเรานะ

http://thunska2.exteen.com/

เอ๊ะว่าแต่รู้ใช่มั้ยว่าเราย้ายบลอก