•_• ทำไมผู้หญิงจึงติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์มากกว่าผู้ชาย

สื่อสังวาส
(ธันวาคม ๒๕๔๗)

ทำไมผู้หญิงจึงติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์มากกว่าผู้ชาย

รายงานล่าสุดจากยูเอ็นเอดส์ระบุว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อเอชไอวี / เอดส์ ๓๗.๒ ล้านคนทั่วโลก เป็น “ผู้หญิง”

บางประเทศในแอฟริกา ร้อยละ ๗๖ ของผู้ติดเชื้อที่มีอายุ ๑๕ - ๒๔ ปี เป็น “ผู้หญิง”

ข้อมูลยังบ่งชี้ว่า สองปีให้หลังมานี้ จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาค อย่าง…

เอเชียตะวันออก มีผู้หญิงติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๖
เอเชียกลาง มีผู้หญิงติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๘
ยุโรปตะวันออก มีผู้หญิงติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๘

ความจริงคือ ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวีสูงกว่าผู้ชาย

เหตุผลเบื้องต้น เป็นเหตุผลทางกายภาพ ด้วยอวัยวะของผู้หญิง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ น้ำอสุจิจะขังอยู่ในช่องคลอดซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อนๆ ที่จะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้สูง ต่างจากอวัยวะเพศของผู้ชาย ดังนั้น การมีเซ็กส์ผ่านช่องคลอดจึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้ชายจะส่งเชื้อเอชไอวีให้แก่ผู้หญิง มากกว่าที่ผู้หญิงจะส่งเชื้อให้ผู้ชายถึงสองเท่า

เหตุผลถัดมา คือ สังคมกำหนดให้เป็นเช่นนั้น

ในสังคมที่กำหนดว่า เรื่องเพศ…ผู้ชาย “ได้” ผู้หญิง “เสีย” ผู้ชายจึงโลดแล่นในเรื่องเพศได้ไม่น่าเกลียด แต่ผู้หญิง “ที่ดี” ควรจะไร้เดียงสาเรื่องเพศ

ทำอย่างไรให้ไร้เดียงสาเรื่องเพศ คือ ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เรื่องเพศห้ามพูด ห้ามรู้ ห้ามต่อรอง ห้ามพกถุงยางอนามัย เพราะจะดูเจนจัดในทางเพศ

บรรทัดฐานทางสังคมได้ยัดเยียดความอันตรายให้แก่ผู้หญิง กฎเกณฑ์ต่างๆทำให้ผู้หญิงขาดข้อมูลเรื่องเพศ และเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีเพียงคาถาเสื่อมๆ ที่ท่องว่าต้อง “รักเดียวใจเดียว” ซึ่งก็อาจยังทำให้หญิงติดเชื้อได้หากไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้มีเชื้อ

ข้อเท็จจริงย้ำว่า หนทางหนึ่งในการป้องกันเชื้อเอชไอวี ก็คือการใช้ถุงยางอนามัย แต่ถุงยางอนามัยก็เป็นอุปกรณ์ที่ “ถูกบอก” หรือ “ออกแบบ” มาว่าให้ใช้กับผู้ชาย สำหรับฝ่ายหญิงนั้น แม้จะมีถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง แต่รูปลักษณ์ก็ดูไม่สร้างความรื่นรมย์ ไม่น่าใช้ ขาดการพัฒนาต่อ สำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น สารป้องกันการติดเชื้อ (Microbicide) ก็ยังพัฒนาไม่ได้ผล

ดังนั้นปัญหาจึงตกอยู่ที่ผู้หญิงว่าทำอย่างไรจะให้คู่รักยอมใช้ถุงยางด้วย

จะใช้ถุงยางได้ ก็ต้องเริ่มจากมีถุงยางอนามัย เกิดไม่มีถุงยางจะทำอย่างไร เรื่องลืมพกเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ถ้าผู้หญิงช่วยพก คนส่วนหนึ่งก็ยังไม่ยอมรับ

เมื่อมีถุงยางแล้ว ผู้หญิงจะกล้าขอคู่รักของตัวเองให้ใส่ถุงยางไหม คงมีทั้งคนที่กล้าและไม่กล้า แล้วผู้ชายยอมรับได้ไหมถ้าคนรักของตัวเองขอให้ใส่ถุงยาง

สำหรับบางคู่ ผู้หญิงก็ไร้อำนาจในการต่อรอง เพราะเมื่อขอให้อีกฝ่ายใช้ถุงยาง นั่นคือการก้าวก่ายที่ลูกผู้หญิงอาจเอื้อมเกินไป และเป็นเครื่องหมายของความไม่ไว้วางใจ

ที่ต้องคิดต่อมาคือ ถ้ากำลังรู้สึกไม่ปลอดภัยในเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงจะสามารถสื่อสารเพื่อปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ครั้งนั้นหรือไม่

หลายพื้นที่ในโลก คู่รักที่แต่งงานและอยู่กินกันในความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียว จะไม่ป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และหลายคู่มองว่าถุงยางเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ซื่อสัตย์

แล้วจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เรื่องที่น่ายินดีคือ ระยะหลังคนรุ่นใหม่กล้าที่จะเปิดเผย แสดงออกมากขึ้น และยืดหยุ่นในเรื่องของพรหมจรรย์มากขึ้น นั่นคือการเลิกยึดติดกับเพศสัมพันธ์ครั้งแรกหลังแต่งงาน มาเป็นการมีเพศสัมพันธ์เมื่อพร้อมทั้งสุขภาวะทางกายและใจ

แต่สิ่งเหล่านี้ อาจไม่ได้หมายถึงการมีข้อมูลข่าวสารที่มากขึ้น และไม่ได้เกี่ยวกับอำนาจในการต่อรองที่เท่าเทียม
สำหรับผู้หญิงทั้งที่ยังเป็นเด็กน้อย กำลังเข้าสู่วัยสาว เป็นหญิงสาว จะทำอย่างไรเพื่อป้องกันตัวเองจากเชื้อเอชไอวี คงต้องเริ่มจากเข้าใจตัวเองก่อนว่า ตัวเองอยากมี “ความรัก” หรืออยากมี “เพศสัมพันธ์”

หากอยากมีความรัก แล้วต้องต่อเรื่องเพศด้วยจะพร้อมไหม ถ้าพร้อมก็ต้องรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ถ้ายังไม่พร้อม หรือไม่อยากมีเพศสัมพันธ์ ต้องรู้จักวิธีที่จะปฏิเสธคนของตัวเองได้

ทว่าเรื่องเพศในสังคมของผู้หญิงจำนวนมาก ยังคงเป็นเรื่องลับที่ไม่พูดกัน

วงสนทนาของผู้หญิงส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีใครเล่าเรื่องเพศที่ลึกลงไปถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ ไม่ค่อยมีใครกล้าปรึกษาเรื่องเพศกับเพื่อนเมื่อมีปัญหา แม้แต่การมองดูอวัยวะเพศของตัวเองก็ยังเป็นเรื่องที่ผู้หญิงน้อยคนจะปฏิบัติ

หากกล้าที่จะเล่า กล้าที่จะแลกเปลี่ยน ไม่เพียงแต่ได้ระบายความอึดอัด ยังได้ถ่ายเท แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน เพียงเล่าให้เพื่อนฟัง อย่างน้อยเพื่อนก็จะช่วยเหลือได้มากกว่าที่เจ้าของปัญหาต้องผ่านวิกฤตของชีวิตเพียงลำพัง

ผู้หญิงพูดเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะทุกคนจะได้เป็นทั้งคนฟังและคนเล่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

Comments