Life After MA # 4-7: Glacier Walk


ไปเที่ยว Iceland มากับพี่สาว เรานัดเจอกันกลางทาง เราแล่นไปจากลอนดอน ส่วนพี่สาวบินมาจากอเมริกา คือจริงๆ จะบินมาหาที่อังกฤษ แต่ icelandair มีโปรโมชั่น stop over ฟรีได้ 7 วัน เป็นจุดที่ดีสำหรับคนที่สนใจเดินทางละแวกนี้

ลงเครื่องแล้วเจ้าของ guest house ที่พักด้วยคืนแรกขับรถมารับที่สนามบินและชี้บนท้องฟ้าให้ดูว่า นั่นไงแสงเหนือ เห็นไม๊ โอ้โฮ ถ้าไม่บอกมองเองก็ดูไม่รู้เลย ท้องฟ้ามีสีเขียวแสงเหนือจางๆ ดูแบบจานสีน้ำที่ล้างไม่สะอาด มันบางเบามากจนไม่บอกตัวเองให้หยิบกล้องขึ้นมาถ่าย ซึ่งรู้สึกคิดผิด เพราะนั่นเป็นโอกาสเดียวที่ได้เห็นในทริปนี้

ทริปนี้มีเวลาแค่ 3 คืน ขณะที่ไอซ์แลนด์มีที่ให้ไปเยอะมาก เราเช่ารถกระป๋องจึงวางแผนแบบไปเฉพาะที่ที่มั่นใจว่ารถขับเคลื่อนสองล้อไปได้ โชคดีที่แชมป์กับพี่หนุ่มเพิ่งไปไอซ์แลนด์มาเหมือนกัน จึงถือโอกาสถามแชมป์ตอนมาเจอที่ลอนดอนและรื้อแผนใหม่ แชมป์ช่วยแนะนำสถานที่สำคัญสำหรับกรณีทริปสั้นแค่สามคืนให้ ซึ่งก็ดีมาก ได้เจอภูมิทัศน์ที่แปลกไปจากความคุ้นเคย ทุกสิ่งดูเซอร์เรียลไปหมด ทุกสิ่งเป็นผลพวงจากภูเขาไฟที่ทำให้เกิดทั้งน้ำพุพุ่ง หลุมภูเขาไฟ ลาวา และอีกมากสิ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจ 

ก็เที่ยวตามรอยแทงที่แชมป์ทิ้งไว้ให้ มีนอกแผนคือไปปีนภูเขาน้ำแข็ง แต่ที่นอกแผนก็เพราะเข้าใจผิดว่าเขาขึ้นเขาไปด้วย ปรากฎว่าเมื่อซื้อทัวร์ขึ้นเขาไปแล้ว มาถามแชมป์อีกที พบว่าตัวเองเข้าใจผิด มันมีวิธีอื่นที่เห็น blue ice ได้แบบไม่ต้องซื้อทัวร์ glacier hiking ได้เหมือนกัน! 

ที่ที่เราไป เป็นภูเขาน้ำแข็งลูกเล็กชื่อ Mýrdalsjökull ส่วนที่ไปชื่อ Sólheimajökull ซึ่งเดินไม่ยาก แต่ขึ้นไปเองไม่ได้เว้นแต่มีความรู้และอุปกรณ์ มันจำเป็นต้องติด crampon ให้รองเท้า และมีอุปกรณ์เซฟตี้ พอขึ้นไปแล้วทางมันแสนจะเวิ้งว้าง หากเป็นทางเขายังพอเห็นร่องทางเดิน แต่นี่มันไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำแข็งกับลาวา 

ไกด์นำทัวร์เป็นหนุ่มสเปน จบภูมิศาสตร์ จะคอยชี้จุดว่า น้ำแข็งช่วงนี้แข็งแรงให้เดินคล้ายปกติได้ แต่ตรงนี้น้ำแข็งใหม่ มันเปราะ ต้องเดินย่ำกดเท้าแรงๆ ทำท่าแบบเพนกวิน 

เขาลูกนี้ไม่สูงมาก มันไม่ได้เป็นภาพภูเขาสีขาวจั๊วะแบบภาพจินตนาการ แต่ลมพัดพาลาวาจากภูเขาอื่นๆ มาเกาะ ดูภาพจากเว็บตอนแรกก็รู้สึกมันไม่สวย แต่พอปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง ก็รู้สึกมันงดงามทำให้ใจเต้นแบบแปลกๆ ได้ (จริงๆ ไม่มีไรมาก กลัว)

 (ยังไม่จบแต่ง่วงแล้ว)



Comments